ฟิตร่างกายเพื่อเป็นนักแข่งรถฟอร์มูล่า 1 อย่างไร?

กีฬาท้าความเร็วอย่างกีฬาแข่งรถยนต์ หลายคนไม่เข้าใจว่าจัดเป็นกีฬาได้อย่างไร ในเมื่อมันก็แค่การขับรถเร็ว ๆ ไม่แปลกที่หลายคนคิดแบบนี้ เพราะการแข่งรถมันมีวิถีทางที่แตกต่างจากการขับรถบนท้องถนนธรรมดาค่อนข้างมาก หากคุณไม่ใช่นักแข่งรถแล้วล่ะก็ ยากที่จะจินตนาการถึงเลยทีเดียว ใครเคยทราบบ้างว่านักแข่งรถฟอร์มูล่า 1 ที่ขับเข้าโค้งด้วยความเร็วเกินกว่า 200 กม./ชม.นั้นมีความรู้สึกอย่างไร มีใครทราบหรือไม่ว่าการขับด้วยความเร็วขนาดนั้นเข้าโค้งตัวนักแข่งรถเองจะรู้สึกเหมือนกำลังถูกถีบออกไปจากโค้งด้วยแรงถีบราว 25 กิโลกรัม ยิ่งสวมหมวกกันน็อคเข้าไปด้วยก็ยิ่งหนัก เหมือนถูกถีบหัวด้วยแรงเพิ่มไปอีกกว่า 7 กิโลกรัมเลยนะ เหมือนเดินเอาดัมเบลหนักสัก 30 กิโลกรัมแขวนคอ ลองนึกภาพดูเองละกันว่าการจะรับแรงผลักขนาดนั้นได้ต้องแข็งแรงขนาดไหน ไม่เช่นนั้นอย่าว่าแต่แข่งให้จบเกมเลย แค่โค้งเดียวก็ไม่รอดแล้ว นอกจากนั้นแล้วการแข่งขันที่ใช้เวลาร่วม 2 ชั่วโมงเนี่ย ความแข็งแรงทนทานของร่างกายหรือหัวใจก็ต้องดีมากเช่นกัน ต้องดีพอ ๆ กับนักวิ่งมาราธอนเลยนะ เพราะในขณะขับรถด้วยความเร็วสูงนั้นหัวใจอาจเต้นเร็วถึง 170 – 190 ครั้ง/นาทีเลย

นักแข่งรถฟอร์มูล่า 1 ต้องมีการฝึกร่างกายอย่างไรจึงจะเรียกว่าเหมาะสม?

เหมือนที่เกริ่นไปตอนต้นว่านักแข่งรถต้องรับแรงกดดันอย่างไรในการขับบ้าง ดังนั้นการฝึกซ้อมร่างกายให้พร้อมรับแรงกดดันเหล่านี้จึงเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่ง มาดูกันว่านักแข่งรถควรฝึกร่างกายอย่างไรกันบ้าง

                ลำตัวเป็นแกนกลางร่างกายที่สำคัญที่สุดในเรื่องของสมดุล จุดส่งแรงรับแรงทั้งหมดมีศูนย์รวมที่แกนกลางร่างกาย ส่วนนี้จึงเป็นส่วนหลักที่ควรจะเน้นกัน

                คอเป็นอีกส่วนหนึ่งที่สำคัญเนื่องจากคอเป็นส่วนที่มีกล้ามเนื้อขนาดเล็ก การรับแรงหนัก ๆ อาจทำให้ส่วนนี้ได้รับผลกระทบมาก การออกกำลังโดยเพิ่มท่าหรืออุปกรณ์สำหรับบริหารส่วนคอโดยเฉพาะจะช่วยให้ตัวนักแข่งรับแรงผลักที่เกิดจากการเข้าโค้งได้ดีขึ้น

                แขนและขาส่วนสำคัญที่ต้องคอยประคองพวงมาลัยรถแข่ง คันเร่ง ครัช และเบรกเพื่อให้รถคู่ใจเคลื่อนที่ได้ตามที่ต้องการ กำลังแขนและขานั้นไม่ได้ขึ้นกับขนาดแต่ขึ้นอยู่กับความแข็งแรงของกล้ามเนื้อนะ กล้ามเนื้อที่กระชับไม่ใหญ่เกินไปจนเทอะทะ การออกกำลังที่เน้นกล้ามเนื้อจะใช้การทำแบบเร็ว ๆ จำนวนครั้งน้อย ๆ แต่ทำบ่อย ๆ จะดีที่สุดสำหรับการพัฒนาความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อโดยเฉพาะ

นอกจากกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ แล้วยังต้องเน้นการออกกำลังกายแบบใดอีก?

การฝึกฝนนอกจากร่างกายแล้วที่สำคัญไม่แพ้กันคือหัวใจ เพราะเป็นส่วนที่บ่งบอกถึงความฟิตของร่างกาย  หัวใจที่แข็งแรงจะสูบฉีดเลือดได้ดี หัวใจของนักแข่งรถฟอร์มูล่า 1 นั้นแข็งแรงพอ ๆ กับนักวิ่งมาราธอนเลยทีเดียว รูปแบบการฝึกความทนทานของหัวใจจะใช้การออกกำลังกายที่เรียกว่าคาร์ดิโอ ที่เน้นการออกแรงหนัก ๆ เร็ว ๆ ในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ หัวใจที่แข็งแรงวัดได้จากชีพจรที่เต้นไม่เกิน 60 ครั้ง/นาที                

เหมือนง่าย แต่ไม่ง่ายเลยใช่ไหมล่ะสำหรับนักกีฬาแข่งรถฟอร์มูล่า 1 ที่ต้องมีการเตรียมความพร้อมทั้งด้านร่างกายและจิตใจไม่ต่างกับนักกีฬามืออาชีพจริง ๆ

Credit : https://cdn.pixabay.com/photo/2015/02/20/18/38/racing-643472_960_720.jpg

จริงหรือไม่ ที่นักกีฬาแข่งรถยนต์ มีเคล็ดลับการขับรถที่เหนือกว่าการขับรถแบบทั่วไป?

หลายคนอาจสงสัยว่าจริง ๆ แล้วนักกีฬาแข่งรถนั้นมีทักษะอะไรทางด้านการขับขี่ที่เหนือกว่าคนที่ขับรถเป็นทั่ว ๆ ไปบ้าง หรือไม่ได้มีอะไรแตกต่างกันเลย เพียงแค่ขับให้เร็วขึ้นเท่านั้น ความจริงแล้วกีฬาแข่งรถยนต์นั้นมีเงื่อนไขในการขับขี่อยู่เพียง 2 ประการคือเข้าเส้นชัยให้เร็ว และขับอย่างปลอดภัย ประเด็นการเข้าเส้นชัยให้เร็วคิดว่าใครก็คงทราบเทคนิคว่าก็ขับให้เร็วเท่านั้น แต่ประเด็นการขับให้ปลอดภัยนี่สิ น่าสนใจ…เพราะการขับรถด้วยความเร็วสูง ๆ นั้นจะมีเคล็ดลับการขับอย่างไรให้ปลอดภัยล่ะ

7 เคล็ดลับ การขับขี่อย่างปลอดภัยที่ควรจะเรียนรู้จากนักแข่งรถ

เคล็ดลับเหล่านี้จะช่วยให้คุณนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ทุกช่วงของการเดินทางและการขับขี่บนพื้นถนนที่ไม่ปกติได้อีกด้วย

  1. ใช้สายตาดังกล้องถ่ายภาพ เริ่มต้นจากการใช้สายตาและสมองก่อนเลย การใช้สายตาในการขับรถนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญและจำเป็นมาก การขับขี่ที่ดีควรมีการมองกวาดไปดูรอบ ๆ ตัวบ้าง ดูเส้นทางและสถานการณ์ด้านหน้าในระยะไกล ๆ บ้าง เพื่อให้สมองจดจำภาพเหมือนกับการถ่ายภาพเก็บไว้เป็นภาพไป เมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่ฉุกเฉิน สมองจะทำการประมวลผลจากภาพที่ใช้ตามองจับนั้นไว้เพื่อให้เกิดการคาดการณ์ล่วงหน้าถึงแนวทางในการป้องกันตัวเองได้อย่างทันท่วงที
  2. เบรกด้วยเท้าซ้ายปลอดภัยกว่า อาจรู้สึกขัดความรู้สึกไปสักนิด แต่นักแข่งรถใช้เท้าซ้ายในการเบรกจริง ๆ เพราะการเท้าซ้ายอยู่ใกล้เบรกมากกว่า สามารถลดระยะเวลาในการเบรกได้มากกว่าการเบรกด้วยการใช้เท้าขวาเมื่อเทียบเป็นระยะทางก็สั้นกว่าประมาณ 25 – 45 เมตรเลยทีเดียว
  3. เคลื่อนไหวให้น้อย เน้นการควบคุมรถ มีนักขับหลายคนเข้าใจว่าการควบคุมรถไปพร้อม ๆ กับการเปลี่ยนเกียร์บ่อย ๆ การเบรกหรือเร่งเครื่องอยู่เสมอแสดงถึงทักษะชั้นยอดของนักขับ แต่สำหรับนักขับชั้นยอดจริง ๆ แล้วสิ่งที่โฟกัสเพียงอย่างเดียวคือการควบคุมรถโดยละทิ้งการเคลื่อนไหวที่เปล่าประโยชน์ไปให้มากที่สุดต่างหาก ความเร็วพยายามรักษาให้คงที่เพื่อไม่ต้องคอยเปลี่ยนเกียร์บ่อย ๆ ให้สมาธิจดจ่ออยู่ที่การควบคุมการเคลื่อนที่เท่านั้น
  4. บังคับ 2 มือมั่นคงกว่ามือเดียว เป็นความเข้าใจผิดอีกอย่างเหมือนกันสำหรับนักขับทั่ว ๆ ไปว่าการบังคับรถให้เลี้ยวในขณะที่มือหนึ่งแตะพร้อมที่การเปลี่ยนเกียร์ส่วนอีกมือหนึ่งบังคับพวงมาลัยให้เลี้ยว แต่สำหรับนักแข่งรถแล้วจะให้ความสำคัญกับการบังคับรถมาก ๆ สองมือประคองพวงมาลัยเพื่อให้เกิดความมั่นคงในการขับเข้าโค้งมากที่สุด สองมือที่ประคองนี้จะสามารถปรับเปลี่ยนทิศทางในการเคลื่อนที่แบบกะทันหันได้อย่างดีที่สุด
  5. ควบคุมได้แม้ไถลลื่น ในสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดอย่างรถที่กำลังขับเกิดการไถลลื่น สิ่งที่ควรทำเพื่อให้เกิดความปลอดภัยมากที่สุดคืออะไร การไถลลื่นไม่ใช่การ drift นะไม่เหมือนกัน การ drift เป็นความจงใจของนักแข่งที่ต้องการควบคุมให้รถเคลื่อนที่ไปในทิศทางที่ต้องการในขณะที่ยังคงรักษาความเร็วไว้อยู่ แต่การไถลลื่นนั้นมาจากสาเหตุที่ไม่ได้ตั้งใจ วิธีการควบคุมรถคือการควบคุมสติมุ่งเป้าสายตาไปยังตำแหน่งที่ต้องการให้รถไถลไปหยุด จากนั้นพยายามควบคุมพวงมาลัยให้รถเคลื่อนที่ไปยังจุดที่ต้องการนั้น ในขณะเดียวกันก็ค่อย ๆ แตะเบรกช้า ๆ เป็นระยะเพื่อควบคุมสมดุลของรถ
  6. ขับขี่ปลอดภัยแม้ขับบนพื้นเปียก ไม่มีข้อสงสัยอะไรเลยสำหรับพื้นผิวถนนที่เปียกนั้นย่อมอันตรายกว่าปกติแน่นอน สิ่งที่ควรทำก็คือการควบคุมให้รถวิ่งไปตามช่องทางให้ได้ โดยพยายามรักษาระยะห่างระหว่างรถคันหน้าและคันหลัง ในขณะที่สายตาก็มองหาบริเวณที่อาจลื่นเพื่อจะได้ระวังและเตรียมตัวให้พร้อม
  7. เอาตัวรอดให้เป็นเมื่อยางระเบิด เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน โอกาสเกิดน้อยแต่หากเกิดขึ้นก็ควรรู้วิธีเอาตัวรอดให้เป็น ในสถานการณ์เช่นนี้นักขับมืออาชีพจะพยายามควบคุมรถที่สูญเสียการควบคุมให้เคลื่อนที่เป็นทางตรง ไม่เบี่ยงออกนอกเส้นทาง ไม่พยายามเบรกกะทันหัน แต่จะรอให้ความเร็วช้าลงจนพอที่จะจอดได้จึงจะจอด การควบคุมรถด้วยวิธีนี้จะช่วยให้เกิดความปลอดภัยทั้งตัวเองและผู้ร่วมทางด้วย

บทสรุปสำคัญจากเคล็ดลับการขับขี่จากนักกีฬาแข่งรถมืออาชีพ               

นักขับรถมืออาชีพจะไม่ได้มุ่งเน้นที่การขับขี่ให้รวดเร็วที่สุด หรือขับขี่ให้ดูเท่ห์น่าสนใจมากที่สุด แต่หัวใจสำคัญคือขับขี่อย่างไรให้ปลอดภัยที่สุด ทั้งตัวเองและเพื่อนร่วมถนนทุกคน นี่เป็นสิ่งที่นักขับทุกควรพึงระลึกไว้เสมอ ลองนำเคล็ดลับเหล่านี้ไปใช้กันดู จะเป็นประโยชน์ทั้งการพัฒนาการขับขี่ของตัวคุณเองและยังดีกับเรื่องความปลอดภัยของคุณอีกด้วยนะ

Credit : https://cdn.pixabay.com/photo/2016/03/26/22/32/fast-1281628_960_720.jpg

หากคิดว่านักขับหญิงไม่ฟิตเท่านักขับชายแล้วล่ะก็ คงต้องคิดใหม่แล้วล่ะ

ในโลกของกีฬาแข่งรถยนต์ มีการถกเถียงกันว่านักกีฬาแข่งรถหญิงฟิตสู้นักกีฬาแข่งรถชายหรือไม่ ประเด็นนี้ไม่ได้เพิ่งเป็นกระแสร้อนแรงแต่มีการพูดคุยกันมานานแล้ว รวมถึงมีการศึกษาวิจัยเรื่องนี้กันอยู่ไม่น้อยเช่นกัน  ผลการศึกษาล่าสุด พบว่าแม้ผู้หญิงที่เป็นนักกีฬาแข่งรถจะมีประสบการณ์น้อยกว่านักกีฬาชายกว่า 10 ปีก็ตาม แต่เมื่ออยู่หลังพวงมาลัยรถแล้วล่ะก็ มีปฏิกิริยาและการตอบสนองในการขับไม่ด้อยไปกว่านักกีฬาชายเลยทีเดียว

ผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่านักกีฬาแข่งรถหญิงสามารถทำได้ดีทีเดียว

เมื่อปีที่ผ่านมา Carmen Jorda สมาชิกคณะกรรมาธิการหญิงใน FIA เรียกร้องให้มีการเปิดโอกาสให้ผู้หญิงได้มีบทบาทในอาชีพนักแข่งให้มากขึ้น กีฬาท้าความเร็วเช่นนี้ผู้หญิงเองก็มีสิทธิ์ที่จะลงแข่งได้ ในขณะที่นักแข่งรถมืออาชีพจำนวนไม่น้อยรวมถึง Danica Patrick ก็ได้ออกมาโต้แย้งข้อเรียกร้องของเธอ

การศึกษาล่าสุดของ Michigan State University ได้ตีพิมพ์ลงในวารสาร Medicine and Science in Sports and Exercise ยืนยันว่านักแข่งรถหญิงที่แม้จะมีประสบการณ์ในการขับน้อยกว่าผู้ชายกว่า 10 ปี มีปฏิกิริยาและการตอบสนองเร็วไม่ต่างกับผู้ชายที่มีชั่วโมงบินในสนามแข่งเลย การวิจัยยังครอบคลุมการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องการมีรอบเดือนของผู้หญิงที่คาดว่าน่าจะเป็นอุปสรรคต่อการขับขี่อีกด้วย โดยเชื่อว่าความเครียดจากการมีรอบเดือนนี่แหละที่เป็นแรงกดดันหลักที่สำคัญที่สุดต่อการแข่งรถ ผศ. David Ferguson ผู้ซึ่งมีประสบการณ์ทางด้านสรีรวิทยาของนักแข่งรถมากว่า 15 ปี กล่าวว่าอุณหภูมิร่างกายของผู้หญิงมักสูงขึ้นเล็กน้อยในช่วงมีรอบเดือน มีการเข้าใจผิดว่าช่วงนั้นของเดือนผู้หญิงจะรู้สึกอ่อนเพลียได้เร็วขึ้นและมีความเสี่ยงต่อความปลอดภัยในการขับขี่ได้ เขายังบอกอีกว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องเข้าใจผิดทั้งสิ้น

การทำความเข้าในเกี่ยวกับการทำงานของร่างกายในขณะที่เกิดเหตุฉุกเฉินเป็นเรื่องจำเป็น ยิ่งไปกว่านั้นการศึกษาเกี่ยวกับความผันผวนของฮอร์โมนที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการขับขี่ก็สำคัญเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ Ferguson จึงได้ทำการประเมินนักขับหญิงทั้ง 2 ระยะของการมีประจำเดือน ระยะแรกคือระยะฟอลิคิวลาร์ (Follicular phase) เป็นระยะที่ประจำเดือนเริ่มมาจนถึงวันก่อนไข่ตก และระยะที่สองคือระยะลูเตียล (Lutral phase) เป็นช่วงครึ่งหลังของการตกไข่

จากการทดสอบ 3 สนามแข่งขันที่มีสภาพคล้ายกัน Ferfuson เฝ้าสังเกตนักขับชาย 6 คน และนักขับหญิงซึ่งมีประสบการณ์น้อยกว่าอีก 6 คน โดยวิเคราะห์จากอัตราการเต้นของหัวใจและอัตราการหายใจ อุณหภูมิร่างกายและผิวกาย ความเครียดและความอ่อนเพลียจากความร้อน ภายใต้สภาพรถทั้งแบบเปิดและไม่เปิดประทุน

ระยะลูเตียลเป็นระยะที่นักขับรถแข่งหญิงมีอัตราการเต้นของหัวใจ อุณหภูมิร่างกายสูง และยังมีการเพิ่มขึ้นของปัจจัยทางสรีระอื่น ๆ ซึ่งเป็นสาเหตุของความอ่อนล้า พบว่าแม้นักขับหญิงจะอยู่ในระยะนี้ ปัจจัยทางสรีระของนักกีฬาแข่งรถหญิงแทบไม่แตกต่างกับนักกีฬาแข่งรถชายเลย Ferguson ยังกล่าวอีกว่าสำหรับภายใต้สภาพรถไม่ว่าจะเปิดหรือไม่เปิดประทุนกลับเป็นปัจจัยให้เกิดความเครียดมากกว่าการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนของนักขับหญิงเสียด้วยซ้ำ

หรือนักแข่งรถหญิงจะเหนือกว่านักขับชายจริง ๆ ?               

จากการศึกษายังพบอีกว่า นักแข่งรถหญิงมีการเรียนรู้และสามารถพัฒนาทักษะในการขับรถได้เร็วกว่านักแข่งชายเสียด้วยซ้ำ จึงสรุปได้ว่า การขับรถนั้นก่อให้เกิดความเครียดได้พอ ๆ กันทั้งชายและหญิง แต่นักขับหญิงนั้นมีความอดทนในการขับขี่สูงกว่านักขับชาย เมื่อเทียบกับภาวการณ์เปลี่ยนแปลงในช่วงมีประจำเดือนแต่ยังสามารถควบคุมการขับขี่จนจบได้ นี่อาจเป็นข้อได้เปรียบที่ทำให้พวกเธอเหนือกว่านักขับชายก็ได้

Credit : https://www.carrushome.com/%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%81%E0%B8%AB%E0%B8%8D%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%8D%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%9B%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%99-%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%A2-11/

รถยนต์คลาสสิค น่าสนใจที่จะเลือกหาซื้อมาขับหรือไม่

รถยนต์คลาสสิคเป็นรถยนต์ในฝันของใครหลาย ๆ คน ที่ชื่นชอบรูปแบบและวัสดุของรถดั้งเดิม ที่ผ่านการออกแบบมาได้อย่างสวยงาม มีเอกลักษณ์เฉพาะที่ไม่เหมือนกับรถยนต์สมัยใหม่ รถคลาสสิคมีเสน่ห์ให้นักสะสมรู้สึกอยากเป็นเจ้าของ แต่การเลือกซื้อรถเพื่อเป็นเจ้าของรถคลาสสิคดี ๆ สักคันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ซึ่งการจะเลือกซื้อสักคันบางคนใช้เวลาสะสมเงินมาเกือบทั้งชีวิตเลยกว่าจะได้มา แต่หากเลือกไม่เป็นแทนที่จะได้รถดี ๆ ที่ต้องการมาขับให้โก้ ก็จะกลายเป็นซื้อรถเพื่อมาซ่อมไม่รู้จักจบสิ้น ดังนั้นใครที่สนใจจะเลือกซื้อรถคลาสสิคคงต้องศึกษาวิธีการเลือกและตรวจเช็ครถก่อนซื้อกันให้ดีเสียก่อน

เคล็ดลับในการเลือกซื้อและบำรุงรักษารถคลาสสิค สำหรับมือใหม่

  1. วิเคราะห์การเติมน้ำมัน สำหรับเคล็ดลับการเลือกรถคลาสสิคนั้น มือใหม่จริง ๆ ก็ไม่แน่ใจว่าจะเริ่มพิจารณาจากสิ่งใดดี จึงจะทราบได้ว่ารถที่กำลังดูอยู่นั้นสภาพดีหรือไม่ มีวิธีการหนึ่งที่ง่าย สะดวกมาก โดยพิจารณาว่าหากรถที่มีการใช้งานเป็นปกติแน่นอนว่าต้องมีการเติมน้ำมันอยู่เสมอ การสังเกตบริเวณถังน้ำมันว่ามีสภาพใหม่เป็นปกติดีหรือไม่ก็สะดวกดี หากรถไม่มีการใช้งานบริเวณถังน้ำมันมักจะมีคราบน้ำที่เกิดจากความชื้นในอากาศให้สังเกตได้
  2. แบตเตอรี่ ปลั๊กและเบลท์ แบตเตอรี่ที่ได้รับการดูแลอย่างถูกวิธีจะต้องถอดสายไว้ จากนั้นค่อยเสียบสายชาร์จคืนในช่วงฤดูหนาวแทน สำหรับปลั๊กควรทำความสะอาดอยู่เสมอ ถ้าเริ่มเสื่อมสภาพควรทำการเปลี่ยนให้เรียบร้อย เช่นเดียวกันกับสายหัวเทียนและหัวจ่ายไฟ สนุกไปกับการเลือกและดูแลรักษารถ สายเบลท์หากชำรุดต้องรีบเปลี่ยนทันที เพราะเป็นเรื่องของความปลอดภัย
  3. การเช็คระบบของเหลวทุกอย่าง เช็คระบบของเหลวทุกส่วน กระจกหน้ารถก็ต้องเช็คน้ำยาฉีดล้างกระจกโดยเฉพาะช่วงฤดูร้อนกระจกจะแห้ง อาจมีทั้งเศษฝุ่นเศษแมลงเกาะติดมากเป็นพิเศษ น้ำมันเบรกก็ต้องเติมให้อยู่ในระดับที่กำหนดไว้เสมอ น้ำยาหล่อเย็นต้องเติมไว้เสมอเพราะช่วยถนอมเครื่องยนต์ น้ำมันเครื่องให้ทำการตรวจเช็คระดับ หรือเปลี่ยนตามรอบที่เหมาะสม
  4. ลองสตาร์ท รถที่มีการใช้งานและดูแลอย่างสม่ำเสมอต้องสตาร์ทติดง่าย วิธีการเช็คก็เพียงแค่ลองสตาร์ทดู หากสตาร์ทติดง่ายก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่ารถคนนี้ได้รับการบำรุงรักษาเป็นอย่างดี แต่ต้องไม่ลืมฟังเสียงเครื่องยนต์ด้วยว่าต้องไม่ผิดปกติ เรื่องนี้ไม่ยากคือ รถที่ใช้งานได้ดีเครื่องยนต์จะเดินเรียบไม่กระตุก ไม่สะดุด ไอเสียที่ออกมาจากท่อไอเสียต้องไม่ขาวหรือดำเกินไป อย่าลืมของเหยียบเบรกและดึงเบรกมือเพื่อดูการทำงานของระบบเบรก รถที่จอดไว้นานระบบเบรกอาจมีการติดขัดได้

มีสิ่งใดที่ควรตรวจสอบให้แน่ใจ ก่อนตัดสินใจเป็นเจ้าของ

หากเป็นไปได้ควรนำรถไปขับทดสอบเพื่อดูสมดุลของรถในขณะขับขี่ หากปล่อยพวงมาลัยแล้วรถควรจะยังคงวิ่งต่อไปในแนวตรง หากไม่เป็นเช่นนั้นให้ลองตรวจสอบลมยางก่อน แล้วจึงเช็คศูนย์รถ หากทั้งลมยางและศูนย์รถเป็นปกติดีแต่รถไม่สามารถวิ่งไปในแนวตรงได้เมื่อปล่อยพวงมาลัย ก็สันนิษฐานได้ว่ารถผ่านการเกิดอุบัติเหตุมา                

เมื่อทำการทดสอบทุกขั้นตอนอย่างมั่นใจแล้ว ที่เหลือก็อยู่ที่คุณจะตัดสินใจแล้วล่ะ

Credit : https://cdn.pixabay.com/photo/2018/01/29/16/36/auto-3116534_960_720.jpg